การเลือก กล่องไฟ-ตู้ไฟ ตู้ไฟสำหรับร้านค้าที่พึ่งเปิด
กล่องไฟ-ตู้ไฟ เป็นส่วนสำคัญในร้านของเรา
ดังนั้นหากเราต้องการทำกล่องไฟสักกล่อง ในมุมมองช่างนั้น กล่องไฟ-ตู้ไฟ
นั้นจะต้องคำนวณราคาจากวัสดุที่ลูกค้าเลือกใช้เป็นสำคัญ
อนึ่งความเห็นของช่างนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งในการแนะนำให้ลูกค้าเข้าใจว่า
ควรใช้วัสดุแบบไหน เพราะลูกค้าเองก็มีความคิดของตัวเองส่วนหนึ่งแล้ว
แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เขาเรียกว่าวัสดุอะไร ดังนั้นร้านป้าย
จึงมีส่วนสำคัญในการให้คำปรึกษา
ตามมารยาทของช่างนั้น ไม่กล้าถามลูกค้าว่ามีงบเท่าไหร่ แต่จะค่อยๆเก็บค่อยมูลจากสิ่งที่มีอยู่เช่น สไตล์การแต่งร้านของลูกค้า จบหาคำตอบไม่เจอค่อยถามว่ามีงบเท่าไหร่ เพราะว่ากล่องไฟแต่ละชนิดนั้นมีราคาวัตถุดิบที่ต่างกัน เช่นกล่องไฟหน้าเดียว กล่องไฟสองหน้า กล่องไฟที่ใช้วัสดุงานพิมพ์ กล่องไฟที่ใช่สติ๊กเกอร์ กล่องไฟอคิลิก กล่องไฟไวนิล หน้างาน ความสูง ความเสี่ยงภัย สายไฟฟ้าด้านหน้าอาคาร ล้วนแต่นำมาประเมินเพื่อแจ้งราคาลูกค้า
ส่วนกล่องไฟราคากลางๆนั้นคือวัสดุแบบไวนิล แพงขึ้นมาหน่อยก็แผ่นอคริลิก รวมถึงความต้องการไฟของลูกค้าอีกด้วย หลอดนี ปริมาณหลวดต่อกล่อง หากไม่ทราบช่างจำคำนวณระยะห่างของหลอดไฟ ให้อัตโนมัต อนึ่งไฟ ก็มีหลายเกรด หลายยี่ห้อ รวมถึงกรอบของกล่องป้าย กรอบกล่องไฟส่วนมากใช้วัสดุซิงค์ (สังกะสีพ่นสี) หรือ กรอบอลุมิเนียม ก็แล้วแต่ความต้องการ ราคาวัสดุจะแพงขึ้นประมาน 20-30 เปอร์เซ็นต์
กรณีการใช้ระยะยาว กันสนิมอาจจะเลือกเป็นอคิลิก และกรอบอลูมิเนียมก็ได้ หรือบางร้านทำสัญญาปีต่อปี ก็อาจจะเลือกวัสดุที่ถูกลงหน่อยก็ได้ อยู่ที่งบของลูกค้า ในฐานะคนทำป้าย กล่องไฟ-ตู้ไฟ ก็ต้องประเมินสเปคกลางๆ ของงานไว้ก่อน รวมถึงให้คำแนะนำได้ว่าควรใช้วัสดุประเภทไหนรวมถึงข้อจำกัดของวัสดุ ที่เอามาผลิต อย่างเช่นกล่องไฟหน้ากว้าง 2*2 เมตร ทางร้านอาจจะแนะนำให้เป็นไวนิล เพราะว่าเกินหน้าอคลิก อาจจะมีรอยต่อ ซึ่งบางครั้งลูกค้าไม่ชอบก็เป็นไปได้ แต่ลูกค้าที่เข้าใจเขาก็ยอมรับว่ามันมีรอยต่อนิดหน่อย ดังนั้นหน้าที่ของร้านป้ายแนะนำลูกค้า จึงเป็นเรื่องสำคัญ
แนะนำลูกค้าได้กล่องไฟ-ตู้ไฟ ว่าการเสียภาษี และค่าภาษีป้ายแต่ละแบบได้เป็นพื้นฐานของร้านป้ายที่ควรทำ กล่องไฟ-ตู้ไฟ หากออกแบบไม่อิงกับการเสียภาษีป้ายก็จะสร้างปัญหาและค่าใช่จ่ายโดยไม่จำเป็นให้กับลูกค้าได้เช่นกัน